Herniated disc (or herniated disk)/ Bulging disc/Slipped disc /Disc protrusion
ศัพท์ทั้งหมดนี้หมายถึงการเคลื่อน เลื่อน ทะลัก ปลิ้น แลบ ฯลฯของหมอนรองกระดูกทั้งสิ้น แล้วแต่ใครจะใช้คำใดสื่อให้เห็นภาพ เช่น คำว่า hernia มักใช้กับการทะลักหรือถูกดันออกมาใช้กับอวัยวะภายใน ที่รู้จักกันดี ก็เช่นไส้เลื่อน(Hernia) หรือไส้เลื่อนที่สะดือเรียกเป็นภาษาการแพทย์ว่าumbilical hernia
แต่คำว่า bulging อาจ สื่อถึงการปลิ้นของหมอนรองกระดูกในภาวะที่ไม่มีการกดทับของเส้นประสาท และยังไม่มีอาการใด ๆ หรือ ในภาวะที่เกิดการกดทับเส้นประสาทและมีอาการปวดแล้วก็ได้ ลักษณะของ bulging มักหมายถึงการที่หมอนรองกระดูก (disc/disk) เคลื่อนตัวออกมา โดยสภาพของคอลลาเจนไฟเบอร์ (AnulusFibrosus)หรือ เยื่อหุ้มโดยรอบ Nucleus Pulposus (ก้อนนิวเคลียสที่อยู่ใจกลางของหมอนรองกระดูกมีส่วนประกอบของน้ำมาก และล้อมด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหลายชั้น (anulus fibrosus)ก้อนนิวเคลียสนี้ช่วยทำให้หมอนรองกระดูกทำหน้าที่ได้ดีในการกระจายแรงกระแทกคล้ายกับตัวสปริงหรือ โช๊คทำให้หมอนรองกระดูกรับน้ำหนักและยืดหยุ่นได้ดีเมื่อได้รับแรงกระทำ)ยังไม่เกิดความเสียหายหรือยังไม่เกิดการฉีกขาด ส่วนอีกคำยอดฮิตก็คือHNP (Herniate Nucleus Pulposus) ก็คือการทะลักออกมาของตัว นิวเคลียสซึ่งอาจจะไหลออกมากดทับเส้นประสาท หรืออยู่ในระหว่างชั้นของanulus fibrosusก็ได้ (มีระบบการเรียกระดับความรุนแรงที่เป็นสากล)
ทั้งนี้คำศัพท์พวกนี้มักถูกใช้ปน ๆกันเสมอแม้ว่าระดับความรุนแรงของแต่ละคำดูจะต่างกันอยู่ดังนั้นการที่จะทราบระดับความรุนแรงของอาการจริง ๆทีมแพทย์และผู้บำบัดต้องทราบถึงคำจำกัดความของความเสียหายในแต่ละระดับเมื่ออ้างถึงหรือต้องมีคำมาชี้ชัดลงไปอีก เช่น total disc protusion / complete disk herniated -หมอนรองกระดูกทั้งอันเคลื่อนตัวออกระหว่างกระดูกสันหลังสองระดับ/ symmetrical disc bulging – เคลื่อนออกมาเสมอกันสองข้างซ้ายขวา ในระดับเดียวกัน/asymetrical disc bulging- เคลื่อนออกมาด้านใดด้านหนึ่ง ทั้งนี้การเรียกชื่อมักเป็นไปตามระบบการเรียกที่เป็นสากล หรือตามที่ตกลงกันในกลุ่มแพทย์และผู้บำบัด
อาการที่มักพบเมื่อหมอนรองกระดูกเคลื่อนออกมากดทับเส้นประสาทที่ลอดออกจากกระดูกสันหลัง คืออาการปวดที่หลัง หรือไม่ปวดที่หลังแต่ปวดที่ขาในจุดที่ตอบสนองต่อเส้นประสาทระดับนั้น ๆ อาจปวดหลังและร้าวลงขาอาการอ่อนแรงของขาด้านเดียวหรือสองด้าน อาการที่แสดงจะแตกต่างกันตามระดับและลักษณะของการกดทับตำแหน่งที่พบบ่อยคือ L4-5 (ส่วนใหญ่พบมีอาการปวดบริเวณหลัง เท้า อาจมีอาการอ่อนแรงของเท้า กระดกข้อเท้าไม่ขึ้น), L5-S1 (ปวดขาด้านหลังและมีอาการปวดร้าวลงบริเวณตาตุ่มด้านนอกของเท้า)มักเกิดกับวัยทำงาน ตั้งแต่ช่วง 18-30 กว่าๆ มากกว่าในผู้สูงอายุ เพราะ สภาพของหมอนรองกระดูกมีความยืดหยุ่นและเคลื่อนตัวได้ดีกว่าของผู้สูงวัย ซึ่งสูญเสียส่วนประกอบของน้ำไปทำให้ไม่ค่อยเกิดการเคลื่อนตัวแต่มักเกิดการ ตีบแคบหรือยุบตัวได้มากกว่า
สาเหตุมักเกิดจากการได้รับแรงกระทำสั่งสมเป็นเวลานาน เช่น การนอน การนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้องนาน ๆ งานที่ทำต้องก้ม เงย ติดต่อกันเป็นเวลานาน และต้องยกของซึ่งหนักตั้งแต่ 5-10 กิโลขึ้นไป การยกในท่าที่ไม่ถูกต้องการบิดหลังบ่อย ๆ ทำให้เกิดแรงดันปริมาณมากใน Nucleus และ แรงดันกระจายออกไปสู่เนื้อเยื่อโดยรอบ เมื่อมีแรงดันเกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือ มาก ๆ ก็ทำให้เนื้อเยื่อโดยรอบ ค่อย ๆ ยืดและฉีกขาดในที่สุด ทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของ นิวเคลียสออกไปทำเส้นประสาท (HNP) เมื่อเนื้อเยื่อดังกล่าวขาดหมด
การ เคลื่อนตัวของหมอนรองกระดูกสามารถเกิดได้ฉับพลันเมื่อมีแรงกระทำที่มากพอ เช่นแรงกระแทกผ่านทางช่องท้อง แรงกระแทกจากการที่กระดูกสันหลังแตกหักหรือถูกกดอัดในแนวดิ่ง(การกระโดด ตกจากที่สูง) หรือแนวเฉียง จากการถูกกระฉากหรือเอี้ยวตัวแรง ๆ การไอหรือจามแรง ๆในขณะก้มตัว หรือนั่งยอง ๆ ก็ทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนตัวได้เช่นกัน
ความรุนแรงของ อาการขึ้นอยู่กับสภาพของหมอนรองกระดูกว่าเคลื่อนออกมากดเส้นประสาทระดับใด เคลื่อนออกมามากแค่ไหน นานเท่าใด และหมอนรองกระดูกอยู่ในสภาพดีอยู่หรือไม่ผู้ป่วยบางรายได้รับอุบัติเหตุรุนแรงทำให้หมอนรองกระดูกซึ่งมีลักษณะคล้ายก้อนเยลลี่หรือซิลิโคนที่มีความยืดหยุ่นสูง เกิดการฉีกขาด และมีNucleus Pulposus ทะลักออกมา และไปกดทับเส้นประสาท แพทย์มักต้องผ่าตัดเอาออกและใส่หมอนรองกระดูกเทียมบางรายหมอนรองกระดูกเคลื่อนออกมาน้อยหรือได้รับความเสียหายน้อย ก็สามารถรักษาโดยวิธีทางกายภาพบำบัดได้ไม่ต้องผ่าตัด
**สามารถหาความรู้เพิ่มเติมและดูรูปภาพได้จาก website ต่าง ๆ โดยใส่คำว่า Herniate Disk/disc, Bulging Disc**
เขียนโดย นุชนันท์ วรรณโกวิท